กล้วยน้ำว้า เป็นผลไม้พื้นบ้านของไทยที่นิยมกินกันมาตั้งแต่โบราณ จะปลูกไว้กินเองขั้นตอนการปลูกก็แสนง่าย หรือจะซื้อหาจากตามท้องตลาดมากินราคาก็แสนจะถูก นอกเหนือจากรสชาติที่หวานอร่อยแล้ว กล้วยน้ำว้ายังมีประโยชน์และมีสรรพคุณทางยาสามารถรักษาโรคได้หลายโรค

ซึ่งไม่ว่าจะกินตอนไหน จะสุกหรือดิบก็ล้วนแต่มีประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น

กล้วยดิบ  

มีสรรพคุณทางยาสามารถรักษาโรคกระเพาะและช่วยแก้ท้องเสียได้ สารที่ทำให้เกิดรสฝาด ในกล้วยเป็นตัวช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และช่วยป้องกันผนังกระเพาะไม่ให้อาหารที่มีรสเผ็ดเข้าไปทำให้ผนังกระเพาะลำไส้เกิดการระคายเคือง  

การทำให้นำกล้วยดิบมาฝาน เป็นชิ้นบางๆจากนั้นเข้าอบที่อุณหภูมิ 50 องศา เมื่อแห้งดีแล้วนำมาบดเป็นผง จะผสมน้ำผึ้งหรือกินเปล่าๆก็ได้ โดยกินก่อนอาหารวันละ3 มื้อๆละ 1 ช้อนชา

กล้วยห่าม  

มีสรรพคุณทางยาช่วยรักษาอาการท้องเสียและช่วยเพิ่มกากใยเวลาขับถ่าย  ในกล้วยห่ามมีธาตุโพแทสเซียมสูง สำหรับคนไข้ที่มีอาการท้องร่วงการกินกล้วยห่ามสามารถชดเชยธาตุโพแทสเซียมที่สูญเสียไปได้ และที่สำคัญเวลากล้วยเริ่มจะสุกนั้นพบว่ามีสารเซโรโทนินอยู่มาก เมื่อกินเข้าไปจะไปกระตุ้นให้ผนังกระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือก ที่ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารนั่นเอง

กล้วยสุก

มีสอบว่าหนทางยาใช้เป็นยาระบายแก้ท้องผูก เพราะในกล้วยสุกมีสารเพคตินอยู่มาก เมื่อกินเข้าไปจึงไปช่วยเพิ่มกากใยในลำไส้  แต่ก็ควรระวังเพราะถ้ากินกล้วยสุกที่งอมมากๆ ก็อาจทำให้ระบายท้องออกมากเกิน นั่นเป็นเพราะมีสารเพคตินในปริมาณมากนั่นเอง เนื่องจากกล้วยเป็นผลไม้ที่มีแป้งอยู่ 20-25% ในการกินกล้วยสุกเราจะต้องเคี้ยวให้ละเอียด กระเพาะคนเรามีเอนไซม์ที่ย่อยแป้งได้น้อย การเคี้ยวกล้วยสุกไม่ละเอียดก่อนกลืนลงไปที่กระเพาะจะทำให้เกิดอาการท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ  

กล้วยสุกงอม

มีงานวิจัยโดยศาสตราจารย์ญี่ปุ่นมหาลัยโตเกียว พบว่าในกล้วยสุกงอมที่เกิดจุดสีดำที่เปลือก ยิ่งจุดสีดำมากเท่าไร มันก็จะสามารถให้สาร TNF ไปต่อสู้กับเซลล์ที่ผิดปกติได้มาก  ซึ่งได้ทดลองกับสัตว์ และใช้ผลไม้อื่นๆร่วมเอาเข้ามาทดลอง ผลปรากฏว่ากล้วยสามารถช่วยทำให้เมล็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น และสร้างสารต้านมะเร็ง TNF ได้ด้วย

เมนูกล้วยที่เราเอามาดัดแปลงเป็นขนมต่างๆเพื่อรับประทานกัน ได้แก่ กล้วยบวชชี กล้วยตาก กล้วยฉาบ  กล้วยทอด หรือแม้แต่ขนมกล้วยนึ่ง ทุกอย่างที่กล่าวมาล้วนมีรสชาติที่อร่อย แต่ก็มีข้อควรระวังในการรับประทานจากขนมหวานที่ว่านี้ คุณรับประทานแต่น้อยและให้ระวังเรื่องน้ำตาลกับไขมันที่แอบแฝงมากับขนมด้วย